ผลกระทบจากความเปราะบางอย่างกะทันหันของกำแพงม่านในยุคกลางต่อฝรั่งเศส ออตโตมัน และในระดับที่น้อยกว่านั้น ปืนใหญ่ปิดล้อมของเยอรมันได้หลีกทางให้วิศวกรทางทหารพยายามแก้ไขความสมดุลอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกสิ่งเหล่านี้ประกอบด้วยประโยชน์ที่ชัดเจนและมีราคาแพงของการยิงตอบโต้แบตเตอรี่ ในช่วงทศวรรษที่ 1470 หอคอยต่างๆ ถูกตัดลงจนเหลือความสูงเท่ากับ กำแพง ที่อยู่ติดกันและแท่นยิงที่ทำจากดินอัดแน่นถูกสร้างขึ้นหลังกำแพงและในชั้นล่างของหอคอยสถาปนิกป้อมปราการ ชาวอิตาลีได้ทดลองสร้างหอปืนใหญ่ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษพร้อมฐานปืนที่ตั้งต่ำเพื่อกวาดคูป้อมปราการด้วยการยิง บางคนถูกจัดวางเพื่อปกปิดส่วนที่อยู่ติดกันของผนังด้วยไฟที่ขนาบข้าง อย่างไรก็ตาม ป้อมปราการเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังคงมีกำแพงแนวตั้งสูงและมีความเสี่ยงต่อแบตเตอรี่ กลไกฟลินท์ล็อก การแตกหักที่ชัดเจนกับอดีตในยุคกลางถูกทำเครื่องหมายด้วยการปิดล้อมของอิตาลีสองครั้ง ประการแรกคือการป้องกันเมืองปิซาในปี ค.ศ. 1500 จากการรวมกองทัพฟลอเรนซ์และฝรั่งเศสเข้าด้วยกัน เมื่อพบว่ากำแพงของพวกเขาพังทลายจากการยิงปืนใหญ่ของฝรั่งเศส ชาว Pisans ด้วยความสิ้นหวังจึงสร้างกำแพงดินด้านหลังพื้นที่ที่ถูกคุกคาม ด้วยความประหลาดใจและความโล่งใจ พวกเขาค้นพบว่าไม่เพียงกำแพงดินที่ลาดเอียงสามารถป้องกันทางเลื่อนได้ แต่ยังทนทานต่อการยิงปืนใหญ่ได้มากกว่ากำแพงหินแนวดิ่งที่ปลูกแทน การปิดล้อมครั้งที่สองคือการปิดล้อมปาดัวในปี ค.ศ. 1509 พระวิศวกรได้รับความไว้วางใจให้ป้องกันเมืองเวนิสแห่งนี้Fra Giocondoโค่นกำแพงยุคกลางของเมืองลง จากนั้นเขาก็ล้อมเมืองด้วยคูน้ำกว้างที่สามารถกวาดล้างได้ด้วยการยิงขนาบข้างจากกระสุนปืนที่ตั้งต่ำลงไปในคูน้ำ เมื่อพบว่าการยิงปืนใหญ่ของพวกเขาสร้างความประทับใจเพียงเล็กน้อยต่อเชิงเทินต่ำเหล่านี้ ผู้ปิดล้อมฝรั่งเศสและพันธมิตรได้ทำการโจมตีที่นองเลือดและไร้ผลหลายครั้งแล้วถอนตัวออกไป