นี่แค่จำนวนแอพพลิเคชันนะครับ เห็นได้ชัดว่าผู้ริเริ่มทำ app store อย่าง Apple ได้ก้าวนำหน้าคู่แข่งไปหลายก้าวพอสมควร โดยมีจำนวนแอพพลิเคชันเป็นหลักแสน (ปัจจุบัน app store ของ Android ก็มีแอพพลิเคชันเป็นหลักแสนแล้วเช่นกัน) และมีจำนวนการเพิ่มแอพพลิเคชันในแต่ละเดือนเป็นจำนวนมาก 

ลองดูจำนวนดาวน์โหลดต่อวันไหมครับ สำหรับ app store ของ Apple นั้น มีจำนวนดาวน์โหลดมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อวัน และยอดรวมการดาวน์โหลดจนถึงทุกวันนี้คือ 15 พันล้านครั้งครับ

มีการคาดเดากันทางสถิติว่า ภายในเดือนสิงหาคมนี้ จำนวนแอพพลิเคชันใน app store ของ Android จะสูงกว่าของ Apple เสียด้วยซ้ำ (ข้อมูลจาก http://techcrunch.com/2011/05/05/android-to-surpass-apples-app-store-in-size-in-august-2011-report-exclusive/)

ฟังแล้วก็อาจจะสงสัยว่า ถ้าเราไม่ได้เป็นนักไอทีหรือผู้ผลิตซอฟต์แวร์บนมือถือ แล้วมันจะเกี่ยวข้องอะไรกับการทำธุรกิจของเราบ้าง ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ ขอให้ไปดูที่รูปต่อไปก่อนนะครับ ซึ่งเป็นรูปแสดงถึงการเปรียบเทียบระหว่างจำนวนแอพพลิเคชันฟรีและจำนวนแอพพลิเคชันที่ต้องซื้อใน app store แต่ละอัน

จะเห็นว่าเฉลี่ยแล้วใน app store หนึ่งๆ จะมีแอพพลิเคชันฟรีประมาณ 25% เท่านั้น ยกเว้นแต่ app store ของ Android เท่านั้นที่จะมีแอพพลิเคชันฟรีในสัดส่วนที่สูงถึง 57% นั่นคือมากกว่าแอพพลิเคชันที่ต้องซื้อเสียอีก แต่ว่าตัวเลขนี้ไม่ได้ทำให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์บนมือถือลังเลที่จะเข้ามาสู่ตลาดแอพพลิเคชันของ Android เลย นั่นเพราะว่าจากสถิติการซื้อสมาร์ทโฟนในไตรมาสแรกของปี 2011 นั้น มือถือระบบ Android ได้ครองตลาดส่วนใหญ่ของสมาร์ทโฟนไปแล้ว (36% เมื่อเทียบกับ 27% ของมือถือ Nokia) และยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย จากตัวเลขทั้งหมดนี้ ผมมองว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อธุรกิจอื่นๆ มีดังต่อไปนี้

1. กระแสการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตทางโทรศัพท์มือถือจะสูงขึ้นอย่างมาก ด้วยปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ดังต่อไปนี้

        ก. สมาร์ทโฟนจะเข้ามาแทนที่โทรศัพท์มือถือแบบธรรมดา เนื่องจากราคาที่ถูกลงจนสามารถซื้อหาได้

        ข. ในขณะที่คนไทยหลายคนไม่มีคอมพิวเตอร์ให้เล่นอินเทอร์เน็ต แต่คนไทยแทบทุกคนต่างมีโทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์มือถือยุคใหม่ก็เล่นเน็ตได้แทบจะทุกเครื่องแล้ว

        ค. ด้วยค่าใช้จ่ายในการลงทุนทำธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการสนับสนุนจากทางภาครัฐ จะทำให้ผู้ประกอบการหลายรายหันมาขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ต

         ง. ตลาดสินค้าออนไลน์บนมือถือมีอยู่แทบทุกระดับ ตั้งแต่สินค้าราคาแพงสำหรับผู้มีกำลังซื้อ (เช่นผู้ที่ใช้ iphone, BB, หรือสมาร์ทโฟนระดับสูง ซึ่งอาจจะรวม Android Phone ด้วย) ไปจนถึงสินค้าราคาย่อมเยาสำหรับตลาดทั่วไปที่มีขนาดใหญ่ (ได้แก่กลุ่มผู้ใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนของ Nokia และ Android) ซึ่งนั่นจะส่งผลให้มีการซื้อขายสินค้าผ่านสมาร์ทโฟนในอัตราที่สูงขึ้นแน่นอน

2. โทรศัพท์มือถือจัดว่าเป็นของใช้ส่วนตัวที่คนเราพกพาและใช้งานแทบจะตลอดเวลา ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมของทั้งผู้บริโภคและผู้จำหน่ายสินค้าออนไลน์ผ่านมือถืออย่างมาก ได้แก่

      ก. ผู้ซื้อสามารถซื้อสินค้าผ่านมือถือได้ตลอดเวลา แม้ว่าบางคนอาจจะค้านว่าการซื้อขายตลอดเวลานั้นเกิดขึ้นกับเว็บด้วยเช่นกัน แต่คงไม่มีใครคนไหนเอาโน้ตบุ๊คมาเปิดเพื่อซื้อของผ่านเน็ตในขณะที่กำลังนั่งอยู่ในรถ ในขณะที่อยู่ระหว่างการเดินทาง หรือในหลายๆ สถานการณ์ ดังนั้นก็น่าจะมีสินค้าหรือบริการที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ตรงนี้แน่นอน เช่น การซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวในขณะที่กำลังเดินทางไปยังสถานที่นั้นๆ การจองโต๊ะและสั่งอาหารล่วงหน้าก่อนเดินทางไปถึงร้านอาหาร เป็นต้น

      ค. ผู้ขายสามารถนำเสนอสินค้าให้ผู้ซื้อได้เห็นได้โดยตรง เปลี่ยนไปจากการเมื่อก่อนที่ต้องทำโฆษณาเพื่อสื่อสารกับผู้ชมจำนวนมากพร้อมๆ กัน แต่ในปัจจุบันผู้ขายสามารถรู้ข้อมูลผู้ใช้ได้มากมายจากเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ โดยเฉพาะเฟสบุ๊ค ลองนึกดูสิครับว่าเราทราบข้อมูลอะไรของเพื่อนคนหนึ่งในเฟสบุ๊คบ้าง เรารู้ชื่อ นามสกุล วันเกิด ที่อยู่ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ จำนวนเพื่อน ปริมาณการเล่นเน็ต ลักษณะการโพสต์ข้อความ หรือแม้กระทั่งตำแหน่งสถานที่ที่เพื่อนคนนั้นกำลังเดินไปมาอยู่ (พวกที่ใช้ foursquare หรือ google check in ไงครับ) ฯลฯ คราวนี้การโฆษณา หรือการนำเสนอสินค้าก็สามารถสื่อถึงผู้ใช้ได้โดยตรง

     ยกตัวอย่างเช่น พอถึงวันวาเลนไทน์ ก็มีโฆษณาขึ้นมาให้เราซื้อดอกไม้ให้แฟนของเรา (และบริการส่งไปให้ตามที่อยู่ในเฟสบุ๊ค) 

    หรือไม่ก็ ถ้าเดินทางไปถึงจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ก็มีโฆษณาโรงแรมและรีสอร์ทของจังหวัดนั้น และโฆษณาสินค้าที่ระลึก ร้านอาหาร ฯลฯ

   และลองนึกดูสิครับ เจ้าโฆษณาพวกนี้นั้น แทนที่จะอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้าน กลับมาแสดงอยู่ในโทรศัพท์มือถือโดยตรง ถ้าสินค้านั้นน่าสนใจ ถ้าโฆษณานั้นไม่โฉ่งฉ่างจนทำให้ผู้ซื้อรำคาญ และถ้าการซื้อนั้นสะดวกรวดเร็ว ผมมั่นใจมากว่าเปอร์เซ็นต์การปิดการขายนั้นต้องสูงอย่างแน่นอน

มีไอเดียอันหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาก นั่นคือการฝากซื้อ

คนไทยเราชอบฝากซื้อของครับ แต่บางทีการตัดสินใจฝากซื้อก็เกิดขึ้นกะทันหัน ซึ่งถ้าจำนวนเงินไม่มากนัก และเราสนิทกับคนที่เราฝากซื้อ มันก็คงไม่เป็นไรนักถ้าจะให้เขาออกให้เราก่อน (หรือไม่เราก็ต้องรีบไปโอนเงินเข้าธนาคารให้)

ดังนั้นถ้ามีระบบๆ หนึ่ง ที่ยอมให้คนซื้อ สามารถถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอสินค้า แล้วแชร์ให้เพื่อนๆ ดูผ่านเน็ตมือถือในขณะที่กำลังอยู่ในร้าน และถ้าเพื่อนคนไหนสนใจ ก็กดซื้อตอนนั้นแล้วระบบก็จะหักเงินผ่านมือถือของเพื่อนคนที่ฝากซื้อเลย และก็ให้คนซื้อรับสินค้าไปฝากเพื่อนได้ทันที ผมว่าการฝากซื้อจะสะดวกขึ้นมาก โดยไม่ต้องมาเสียดายอีกต่อไปว่า เออ ไปเจอของน่าสนใจแต่ไม่รู้จะซื้อมาฝากดีไหม เพราะต่อจากนี้ไป เราสามารถแชร์รูปหรือคลิปสินค้าได้ทันที และซื้อได้ทันทีเช่นกัน ถ้าระบบนี้สามารถทำให้คนซื้อสินค้าในร้านเพิ่มขึ้นได้สักคนละ 1-2 ชิ้น ลองคิดดูว่ามันจะทำกำไรให้กับร้านของเราเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่

ก็แค่นึกเล่นๆ ขำๆ น่ะครับ จริงๆ แล้วระบบแบบนี้อาจจะมีคนคิดทำในแนวคล้ายๆ กันไปแล้วก็ได้ แต่อย่างน้อยในไทยนี่ก็ยังไม่น่าจะมีนะครับ และในเมื่อแนวโน้มหลายๆ อย่างมันกำลังเข้ามาหาธุรกิจออนไลน์บนมือถือ ลองคิดลองทำกันไว้ก่อนตอนนี้ก็ไม่น่าจะเสียหายนะครับ ว่าแต่ใครมีไอเดียจะทำธุรกิจอะไรกันบ้างล่ะ